ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและความกังวลด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นเป็นประวิติการณ์ที่ 3,038 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ความตึงเครียดในตะวันออกกลางและความกังวลด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นเป็นประวิติการณ์ที่ 3,038 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,038 ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นใหม่ในตะวันออกกลางกระตุ้นให้มีการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น

ราคาทองคำส่งมอบเดือนเมษายนพุ่งขึ้น 34.10 ดอลลาร์ แตะที่ 3,040.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นวันที่สามติดต่อกันที่โลหะมีค่าดังกล่าวซื้อขายสูงกว่า 3,000 ดอลลาร์

การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความรุนแรงระลอกใหม่ในตะวันออกกลาง โดยอิสราเอลได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง 2 เดือนกับกลุ่มก่อการร้ายฮามาสด้วยการโจมตีทางอากาศในฉนวนกาซาจนมีผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาจะถือว่าอิหร่านต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อการโจมตีการเดินเรือของกลุ่มก่อการร้ายฮูตีในเยเมนเพิ่มเติม หลังจากเปิดฉากโจมตีกลุ่มดังกล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

การดำเนินการทางทหารทำให้ตลาดได้รับการหนุนจากการซื้อขายสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่แล้ว เนื่องจากนักลงทุนหันมาซื้อโลหะท่ามกลางความปั่นป่วนในตลาดที่เกิดจากการขู่ขึ้นภาษีของทรัมป์

“ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นในตะวันออกกลางและความกังวลด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทองคำแท่งพุ่งสูงขึ้นหลังจากที่กองทัพอิสราเอลโจมตีกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ซึ่งถือเป็นการขู่ว่าจะยุติสงครามกลางเมือง ขณะที่ทรัมป์เพิ่มแรงกดดันต่ออิหร่านให้ควบคุมกลุ่มฮูตี” ธนาคาร Saxo Bank ระบุ

ราคาทองคำพุ่งขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มการประชุม 2 วัน ซึ่งคาดว่าจะสิ้นสุดโดยที่อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลง เครื่องมือ Fedwatch ของ CME คาดว่ามีโอกาส 99% ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ จะคงอัตราดอกเบี้ยตามนโยบายปัจจุบัน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะอ่อนตัวลงก็ตาม

ดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยดัชนีดอลลาร์ ICE ลดลง 0.12 จุด สู่ระดับ 103.25 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลส่วนใหญ่ค่อนข้างคงที่ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีของสหรัฐฯ ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 4.036% ลดลง 2.1 จุดพื้นฐาน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลง 2.6 จุด

Share this post